พ่อข่มขืนลูก – เกิดเหตุสลดใจในสังคมขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นความรุนแรงทางเพศในครอบครัว เมื่อ นายอภิชาติ อายุ 38 ปี ข่มขืนลูกสาวในไส้ของตัวเองตั้งแต่ลูกสาวอายุ 11 ปี และข่มขืนเรื่อยมาตลอดระยะเวลา 8 ปี
ที่น่าสลดใจไปกว่านั้น คือ ปี 2562
ลูกสาวเกิดท้อง ย่างเข้า 6 เดือน พ่อบังคับทำแท้งด้วยวิธีสุดโหด โดยใช้เข็มแทงเข้าไปในช่องคลอด (ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า พ่อใช้เข็มใส่แอลกอฮอล์ฉีดเข้าไปในอวัยวะเพศ 6 ครั้ง) จนเด็กในครรภ์แท้งและนำไปทิ้ง ไทยรัฐออนไลน์ รายงานพฤติกรรมอันน่าหดหู่ว่า นายอภิชาติ จะกระทำชำเราลูกสาวอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง (ข่าวสดออนไลน์ ระบุว่า เด็กสาวถูกกระทำชำเรามาประมาณ 12 ครั้ง ในระยะเวลา 8 ปี) จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ล่าสุด เด็กสาวในวัย 18 ปีทนไม่ไหว จึงนำเรื่องไปขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิแห่งหนึ่ง นำไปสู่การแจ้งความจับพ่อ
ล่าสุดนายอภิชาติได้ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจภาค 5 ด้วยตัวเอง โดยโดนข้อหา ข่มขืนกระทำชำเราบุคคลอายุไม่เกิน 13 ปี
เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อท.205/2561 ในคดีที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พระเมธีสุทธิกร หรือพระราชอุปเสณาภรณ์หรือพระมหาสังคม หรือสังคมญาณวฑฒโน หรือนายสังคม สังฆะพัฒน์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ,พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือพระมหาเทิด หรือนายเทอด วงศ์ชะอุ่ม อดีตเจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ นายทวิช สังข์อยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ บริษัท ดีดีทวีคูณ ที่รับผลิตสื่อให้วัดสระเกศฯ
โจทก์ฟ้องระบุว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นพระสงฆ์จำเลยที่ 1 มีสมณศักดิ์ชื่อพระเมธีสุทธิกร จำเลยที่ 2 มีสมณศักดิ์ชื่อพระวิจิตรธรรมาภรณ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นตำแหน่งในการปกครองคณะสงฆ์ จึงมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและพ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 45 มีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าอาวาส ดูแลบำรุงรักษาวัดและจัดกิจการศาสนสมบัติของวัด ตลอดจนปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่อยู่หรือพักอาศัยในวัดให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎข้อบังคับระเบียบ
เมื่อช่วงเดือน มีนาคม – ธันวาคม 2558 จำเลยทั้ง 2 ซึ่งมีอำนาจร่วมกันลงลายมือชื่อ สั่งจ่ายเบิกถอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชีวัดสระเกศฯ จำเลยที่ 1,2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย และจำเลยที่ 3 ได้บังอาจร่วมกันกระทำการฟอกเงิน/ เบิกถอนเงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาจากบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาวรจักรบัญชี ออมทรัพย์ 7 เเสนบาท ซึ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำ ซึ่งเป็นความผิดมูล ฐานไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตนของจำเลยทั้ง 3
โดยจำเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้วว่า เงินจํานวนดังกล่าวเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน
จำเลยทั้งสามไม่สามารถร่วมกันนำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้หรือโอนไปใช้เพื่อกิจการอื่นนอกเหนือจากการนำไปใช้เพื่อกิจการสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาได้
การกระทำของจำเลยทั้ง 3 ดังกล่าวเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินและฐานร่วมกันฟอกเงินเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่วัดสระเกศราชวรมหาวิหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติองค์กรหรือบุคคลอื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องและเนื่องจากจำเลยที่ 1 และ 2 เป็นเจ้าพนักงานตามกฏหมายกระทำความผิดฐานฟอกเงินจึงต้องระวางโทษหนักขึ้นเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นตามกฎหมายด้วย
เมื่อวันที่ 6 เม.ย.2558 จำเลยที่ทั้ง 3 ได้ร่วมกันฟอกเงินโดยจำเลยที่ 1,2 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 ทำการเบิกถอนเงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาจากบัญชีธนาคารกรุงไทยสาขาวรจักรจำนวน 3 ล้านบาทซึ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำซึ่งเป็นความผิดมูลฐานไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตนของจำเลยทั้ง3 การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงินและฐานร่วมกันฟอกเงิน
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.โดยทั้งสามอย่างได้บังอาจร่วมกันทำการฟอกเงินโดยถอนเงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาจากบัญชีธนาคารกรุงไทยสาขาวรจักรจำนวน 3.4ล้านบาท วันที่ 6 ส.ค. 1เเสนบาท วันที่ 11 ก.ย. 3 ล้านบาท วันที่ 21 ธ.ค. 4ล้านบาท
ศาลพิจารณาพยานหลักฐานเเล้ว พิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 6ปี 24 เดือน และปรับคนละ 168,000บาท จำเลยที่ 1,2 เป็นพระภิกษุผู้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมวินัยเมื่อไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนโทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 1 ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29,30 (ที่แก้ไขใหม่)
ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยที่ 4ในคดีหมายเลขดำที่อท 197/ 2561ของศาลนี้นั้นเนื่องจากคดีนี้ศาลรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ให้ยกคำขอในส่วนนี้และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3
จากการไต่สวนปรากฏว่า น.ส.ปารีณา ร่วมกับนายทวี ไกรคุปต์ บิดา เข้ายึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ พื้นที่จำนวน 711-2-93 ไร่ โดยมีพฤติการณ์ ดังนี้
แนะนำ : รีวิวหนังไทย | คู่มือพ่อแม่มือใหม่ | แม่และเด็ก | เรื่องผี | แคคตัส กระบองเพชร